บทที่ 8
รุ่ยรุ่ยอธิบายว่า "ข้าไม่ได้จะแย่งท่านแม่ของเจ้า"
หยางหยางจ้องเขาอย่างระแวง ไม่ต้องการฟังคำอธิบายใด ๆ เขาพูดด้วยสีหน้ารังเกียจ "ข้าจะไม่ยกท่านแม่ให้เจ้าหรอก รีบไปให้พ้น ๆ"
“เจ้าแค่แบ่งท่านแม่ให้ข้าครึ่งหนึ่ง แล้วข้าจะแบ่งท่านพ่อให้เจ้าครึ่งหนึ่ง พวกเราจะได้มีพ่อแม่เหมือนกัน แบบนี้ดีจะตาย! เจ้ายังได้พี่ชายที่คอยรักและปกป้องเจ้า จากนี้ไปข้าจะปกป้องเจ้าเอง” รุ่ยรุ่ยตบอกตัวเองรับปากอย่างแข็งขัน
ตรรกะความคิดของเด็กชาย ฟังแล้วเหมือนจะมีเหตุผล!
หยวนชีรีบตัดบท "ซือจื่อ ท่านพูดแบบนั้นไม่ได้"
หากท่านอ๋องรู้ว่าตัวเองมีภรรยาเพิ่มมาอย่างไร้ที่มาที่ไป เขาจะต้องโกรธจนเป็นลมอย่างแน่นอน!
หยางหยางลนลานกอดแม่ตัวเองไว้แน่น ปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า "ข้าไม่ต้องการการปกป้องจากเจ้า ขอแค่มีท่านแม่อยู่ผู้ใดจะกล้ารังแกข้ากัน? ท่านแม่พวกเราไปกันเถอะ อย่าได้สนใจเขา"
“พวกเจ้าจะไปไหน? พาข้าไปด้วย” รุ่ยรุ่ยแววตาคาดหวังแล้ววิ่งตามหลังไปติด ๆ
“ซือจื่อ ท่านอย่าวิ่งเถลไถล” หยวนชีรีบเร่งรีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อหยุดเขา “หากท่านหลงทาง ท่านอ๋องจะต้องเป็นห่วงอย่างมาก”
“มีอะไรต้องกังวลกัน? รอข้ากับท่านแม่และน้องชายกลับไปเมืองหลวง ข้าจะทำให้ท่านพ่อทั้งตื่นเต้นและประหลาดใจ เจ้าอย่ากังวลไป”
หยวนชีรู้สึกว่ายิ่งซือจื่อทำเช่นนี้ ท่านอ๋องก็จะยิ่งกังวลใจมากขึ้นกว่าเดิม
ไม่รู้ว่าสตรีนางนั้นมีแผนการใด ไม่ทันไรก็เรียกท่านแม่เสียแล้ว?
หยางหยางหันหน้ากลับมาแล้วแก้ต่าง "นี่คือท่านแม่ของข้า ไม่ใช่ของเจ้า"
“อย่าได้ตระหนี่นัก ไม่ช้าหรือเร็วท่านแม่ก็จะเป็นของพวกเราทั้งสอง แล้วมันต่างกันอย่างไร?” รุ่ยรุยพูดอย่างมีเหตุผล
“นี่รัชทายาท...” หยางหยางโดนเจ้าคนเจ้าเล่ห์หน้าไม่อาย ทำให้โกรธจนหน้าแดงจัด
ทำไมคนผู้นี้ถึงได้ตามติดไปทุกที่เช่นนี้ สลัดอย่างไรก็ไม่หลุด?
มู่จือเหยี่ยนมองเด็กสองคนทะเลาะกัน รู้สึกทั้งขบขันทั้งจนปัญญา
นางจะไม่สอดมือเข้ายุ่งเรื่องการทะเลาะกันระหว่างพี่น้อง มือซ้ายจูงมือหยางหยาง มือขวาจูงมือรุ่ยรุ่ย แม่ลูกสามคนเดินไปด้วยกันเป็นภาพที่อบอุ่นมาก
เดิมทีหยางหยางเป็นเด็กที่ไม่ค่อยพูด แต่หลังจากได้เจอรุ่ยรุ่ยก็กลายเป็นคนที่พูดมากขึ้น
เด็กควรที่จะพูดเยอะ ๆ นิ่งขรึมไม่พูดไม่จาคงไม่ดี? หากวันหนึ่งเกิดมีปัญหาทางด้านจิตใจขึ้นมาได้ไม่คุ้มเสีย
หยวนชีเดินตามหลังซือจื่อด้วยสีหน้าจนปัญญา เขาค่อนข้างประหลาดใจ ท่านอ๋องน้อยที่ไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด พอเดินตามหลังมู่จือเหยี่ยน ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน โดนคนอื่นเมินใส่กลับไม่ใส่ใจแม้แต่น้อย ซ้ำยังมีคำพูดที่ประดับร้อยยิ้มนั้นอีก
ระหว่างทางหยวนชีเอาแต่กังวลใจถึงการเปลี่ยนแปลงของซือจื่อ เขาสงสัยว่าซือจื่ออาจถูกสิ่งลี้ลับบางอย่างสิงอยู่ในร่างหรือไม่?
พอเห็นว่าซือจื่อกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง ต้องประจบประแจงอีกฝ่าย หยวนชีฝืนใจพูดแทรก "ซือจื่อจะจัดการอย่างไรกับโจรพวกนั้น?"
รุ่ยรุ่ยนั่งเอามือเท้าคาง สมองน้อย ๆ กำลังขบคิด "ส่งพวกเขาไปที่ว่าการ ให้คนของที่ว่าการไต่สวนว่าใครเป็นคนบงการพวกเขา"
“ข้าน้อยรับบัญชา” หยวนชีรับคำทันที
“อีกอย่าง เจ้าอย่าตามข้ามาอีก ข้าอยากเดินเล่นกับท่านแม่ เจ้าอยู่รั้งตรงนี้มีแต่จะเป็นส่วนเกิน!” รุ่ยรุ่ยพูดอย่างหักหาญน้ำใจ
“ซือจื่อ เกรงว่าทำแบบนี้คงไม่เหมาะ ข้าน้อยได้รับคำสั่งให้คุ้มครองท่านเป็นการส่วนตัว”
“เจ้านี่มันสมองกลวงเสียจริง! ท่านแม่มีวรยุทธที่สูงส่งเช่นนี้ นางจะปกป้องข้าไม่ได้หรือ? อีกอย่างที่นี่อยู่ไม่ไกลจากเมืองหลวง พอถึงเวลาเจ้ามาหาข้าที่จวนหนิงหยวนโหวแล้วกัน” รุ่ยรุ่ยพูดแล้วโบกมือไปมา
ต่อหน้ามู่จือเหยี่ยนเท่านั้น เขาถึงดูเหมือนเด็กชายธรรมดาคนหนึ่งที่มีอายุหกเจ็ดขวบ เขาไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ศาสตร์ทั้งสี่ และไม่จำเป็นต้องตื่นแต่เช้าเพื่อฝึกฝนวรยุทธ
อย่างไรก็ตามเขาถือเป็นบุตรชายคนเดียวในจวนเหยี่ยนอ๋อง สถานะที่สูงส่ง อุปนิสัยที่เย่อหยิ่งถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กจนโต กลายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของเขาไปเสียแล้ว ซึ่งคล้ายกับหนานกงรุ่ยหยวนอย่างมาก
หยวนชีไม่กล้าฝ่าฝืนคำสั่ง เขาจดจำใบหน้าของมู่จือเหยี่ยนอย่างเงียบ ๆ
เขาไม่ไว้ใจสตรีแปลกหน้าคนนี้
มู่จือเหยี่ยนไม่ใช่คนเขลา นางเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในดวงตาของเขา "ข้าคือคุณหนูสามแห่งจวนหนิงหยวนโหว หากเจ้าไม่วางใจ สามารถไปสืบประวัติข้าได้ ตอนสาย ๆ ค่อยมารับเขาที่จวนโหวแล้วกัน"
จวนหนิงหยวนโหวแม้ไม่ใช่ขุนนางระดับสูง แต่อย่างน้อยก็เป็นจวนโหรขั้นที่หนึ่ง
พอหยวนชีได้ยินชื่อของหนิงหยวนโหว คนผู้นี้มีนามว่าฉินถานเฟย ชื่อเสียงในราชสำนักไม่โดดเด่น ที่ยังดำรงตำแหน่งนี้ได้ถึงปัจจุบัน เพราะอาศัยการสืบทอดตำแหน่งต่อจากบรรพบุรุษมา
ทุกวันนี้คนนอกที่ยังให้เคารพจวนหนิงหยวนโหว เพราะว่าพวกเขายกย่องท่านโหวคนก่อน
คนเจ้าเล่ห์เช่นนี้ เหยี่ยนอ๋องสามารถจัดการได้อย่างตามใจชอบ หยวนชีจึงสบายใจได้เปราะหนึ่ง ตระกูลฉินแม้จะมีความอาจหาญ แต่คงไม่กล้าล่วงเกินซือจื่ออย่างแน่นอน!
“ขอบคุณแม่นางที่ช่วยดูแลซือจื่อ” หยวนชีประสานมือคำนับ
มู่จือเหยี่ยนยิ้มให้อย่างสุภาพ "เรื่องเล็กน้อย ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้อง อยากจะยืมตัวหัวหน้าโจรป่า ข้ามีวิธีที่จะจัดการกับเขา พอจบเรื่องแล้วจะส่งคนคืนให้ "
หยวนชีไม่มีสิทธิตัดสินใจเรื่องนี้เอง เขามองไปยังรุ่ยรุ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ
รุ่ยรุยพยักหน้าอย่างใจกว้าง "หากท่านแม่ต้องการ จะมาคุมตัวไปเวลาใดก็ได้ อย่าได้เกรงใจเลย"
มู่จือเหยี่ยนกล่าวอย่างเกรงใจ "ขอบใจมากรุ่ยรุ่ย"
“พวกเราถือเป็นครอบครัวเดียวกัน อย่าได้เกรงใจ” รุ่ยรุ่ยเกาศีรษะด้วยความเก้อเขิน
มู่จือเหยี่ยนอุ้มหยางหยางที่มีสีหน้าบึ้งตึงไปนั่งในรถม้า และให้รุ่ยรุ่ยตามขึ้นไปด้วย ส่วนนางกับหยวนชีช่วยกันมัดตัวหัวหน้าโจรและโยนร่างเขาไว้ที่ตรงท้ายสุดของรถม้า
รถม้าเริ่มเคลื่อนตัว และมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง
หยวนชีรออยู่ที่เดิม
ประมาณธูปหนึ่งก้าน บนถนนมีเสียงเกือกม้าเร็วรี่ดังแว่วอย่างชัดเจน อาชาพันธุ์ดีสีดำตัวหนึ่งกำลังวิ่งตรงมาทางนี้
“ท่านอ๋องในที่สุดท่านก็มาถึงแล้ว” หยวนชีรีบเร่งต้อนรับ
ดวงตาที่เฉียบคมของหนานกงรุ่ยหยวน กวาดไปยังชายชายฉกรรจ์ที่อยู่บนพื้น หัวคิ้วขมวดขึ้น ถามเสียงเย็น "นี่มันเรื่องอะไรกัน? ซือจื่อล่ะ เหตุใดถึงไม่เห็นเขา?"
หยวนชีไม่กล้าที่จะปิดบังรายละเอียดเล็กน้อย เขาเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟังอย่างรวดเร็ว
หนานกงรุ่ยหยวนไม่คาดคิดว่า เด็กคนนี้จะทำตัวไร้ขอบเขตเช่นนี้ เขาระเบิดโทสะ" คว้าหญิงสาวคนหนึ่งที่เจอกันบนถนน ซ้ำให้นางมาเป็นแม่ของตัวเองอย่างตามอำเภอใจ แล้วยังคิดหนีไปกับสตรีนางนั้นอีก? เด็กนั่นขาดความรักมากถึงขนาดนี้เลยหรือ!"
“สตรีคนนั้นแซ่นายท่านฉิน เป็นคนจากจวนหนิงหยวนโหว”
"เหตุใดเขาอยากให้นางเป็นแม่ของเขา" หนานกงรุ่ยหยวนไม่เข้าใจความคิดของลูกชายจริง ๆ
"ซือจื่อตกอยู่ในสถานะการณ์อันตราย แม่นางฉินเข้ามาช่วยไว้ ซือจื่อซาบซึ้งในน้ำใจ เลยมีความคิดวู่วาม....." หยวนชีไม่รู้จะแต่งเรื่องต่ออย่างไรแล้ว
"ไม่ได้เรื่อง!" หนานกงรุ่ยหยวนรู้สึกชิงชังเด็กคนนั้นจริง ๆ
ต่อให้ชิงชังแล้วอย่างไร เด็กคนนั้นเป็นสายเลือดแท้ ๆ ของเขา ให้เพิกเฉยไม่สนใจก็คงจะไม่ดี?
"พวกเขาไปเส้นทางใด?"
“เรียนท่านอ๋อง เส้นทางไปเมืองหลวงขอรับ”
หนานกงรุ่ยหยวนมองไปตามถนนที่เป็นสายหลัก และพบว่าถนนสายเล็ก ๆ ที่เขาใช้ตอนที่เขามา บังเอิญเป็นถนนสองสายที่แยกออกจากกัน ดังนั้นจึงไม่ทันเจอพวกเขา
“เจ้าพาคนเหล่านี้ทั้งหมดไปโยนทิ้งไว้ที่กรมอาญา ข้าอยากจะรู้นัก ว่าผู้ใดช่างอาจหาญ กล้ามาลงมือกับบุตรชายของข้า! เหยี่ยนอ๋องน้ำเสียงเยียบเย็น
เขาดึงบังเหียนม้าหันเปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าสู่เส้นทางที่ยังเมืองหลวง แล้วไล่ตามออกไป
หยวนชีคุกเข่าข้างหนึ่ง "น้อมส่งท่านอ๋อง"
เมื่อหนานกงรุ่ยหยวนไล่ตามจนมาถึงเมืองหลวง มู่จือเหยี่ยนสามคนแม่ลูกก็ถึงเมืองหลวงแล้วเช่นเดียวกัน
สมกับที่เป็นแผ่นดินของฮ่องเต้ บนท้องถนนคับคั่งไปด้วยผู้คน แผงขายของริมทางมีเสียงแข่งตะโกนไปมา ไม่ว่าจะขี่ม้าราคาแพงเท่าใด ได้แค่ขยับเคลื่อนตัวไปด้านหน้าอย่างช้า ๆ พร้อม ๆ กับกลุ่มฝูงชน
ในเวลานี้เสียงของบุรุษคนหนึ่งดังขึ้น "น้องสาม ช่างบังเอิญจริง เจ้าไปร่วมฉลองวันเกิดที่จวนหนิงหยวนโหวด้วยหรือ?"
